กด สมัครสมาชิก เพื่อรับสินค้าทดลอง พร้อมรอรับข่าวสารและอัพเดตเทคนิคดี ๆ จากเรานะคะ
หากผู้ป่วยมีอาการปวดท้องข้างซ้ายร่วมกับอาการเตือนอื่น ๆ เช่น มีไข้ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง อาเจียน ปัสสาวะหรือ ถ่ายเป็นเลือด อาเจียนหรือท้องเสียอย่างรุนแรงหรือบ่อยครั้ง ดีซ่าน ท้องหรือขาบวม กลืนลำบาก เป็นต้น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ทั้งนี้ ผู้ที่กังวลเกี่ยวกับการปวดท้องข้างซ้ายของตนหรือมีอาการปวดท้องนานกว่า 3 วัน ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ และรับการตรวจวินิจฉัยอย่างถี่ถ้วนเช่นเดียวกัน Share:
ปวดหลัง อาการปวดหลังเป็นอาการทั่วไปที่มักเกิดกับแม่ท้อง แต่หากเริ่มมีอาการปวดหลังรุนแรงมากขึ้น ซึ่งในบางครั้ง อาจมาจากการที่ศีรษะของเด็กในครรภ์ ไปสัมผัสกับกระดูกสันหลังของแม่ท้องจึงทำให้มีอาการปวดหลังรุนแรง ซึ่งอาจเป็นอีกสัญญาณของการใกล้คลอดได้เช่นกัน 6.
อาการปวดหลังของคุณแม่ที่กำลัง ตั้งครรภ์ มักจะเป็นกันแทบทุกคน โดยเฉพาะในช่วงของอายุครรภ์ที่มากขึ้น หรือเป็นช่วงไตรมาสที่ 3 เพราะในช่วงนี้เป็นช่วงที่คุณแม่ต้องแบกรับน้ำหนักของทารกในครรภ์ที่พร้อมจะคลอดนั่นเอง ซึ่งอาการปวดลักษณะนี้จะปวดอยู่ตรงบริเวณเชิงกราน บางครั้งก็ลามไปยังบริเวณก้นกบด้วย วิธีแก้อาการปวดหลังของคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์ สำหรับวิธีแก้อาการปวดนั้น คุณแม่สามารถปรับพฤติกรรมใหม่ได้ดังนี้ค่ะ 1. การนั่ง คุณแม่ที่มีอาการปวดหลังขณะที่ตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการนั่งหลังงอ เพราะจะทำให้อาการปวดเป็นหนักขึ้นกว่าเดิม หากนั่งไม่ถนัดอาจจะใช้หมอนหนุนช่วย 2. การ นอน การนอนตอนกลางคืน คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ควรจะมีหมอนสำหรับหนุนระหว่างเข่าไว้ด้วย เพื่อให้การนอนอยู่ในท่าที่ถูกต้อง และในขณะที่ต้องลุกจากที่นอน ให้ใช้มือทั้งสองข้างพยุงตัวเอาไว้ก่อนแล้วดันท้องขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการเกร็งตรงกล้ามเนื้อหลัง และป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดหลัง 3. เลี่ยงการยกของ หนัก การยกของหนักจะทำให้กล้ามเนื้อตรงบริเวณหลังและหน้าท้องเกิดอาการเกร็ง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง หากมีความจำเป็นต้องยก ให้ย่อเข่าลงเล็กน้อยก่อนที่จะยก เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อตรงหน้าท้องเกร็งมากเกินไป 4.
หมั่นออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดหลัง การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับคนท้องก็คือ การเล่นโยคะ หรือการว่ายน้ำ ที่ไม่ต้องหักโหมร่างกายมากเกินไป จะช่วยให้ไม่เกิดอาการปวดหลัง และทำให้ร่างกายของคุณแม่แข็งแรงอยู่ตลอดเวลา 5. การนวด การนวดก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ แต่ถ้าหากเป็นการนวดน้ำมันหรือมีน้ำยาอะไรที่ต้องทาก่อน จะต้องปรึกษาสูตินารีแพทย์ให้ชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่ายาที่ใช้จะไม่กระทบกับทารกที่อยู่ในครรภ์หรือตัวของคุณแม่เอง 6. ใช้กางเกงพยุง ครรภ์ ยิ่งคุณแม่มีอายุครรภ์ที่มากขึ้น ก็ต้องแบกรับน้ำหนักมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดหลัง ดังนั้นการใช้การเกงพยุงครรภ์ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้คุณแม่ไม่ต้องแบกรับน้ำหนักหน้าท้องมากเกินไป 7. การหนุนรองครรภ์ หากรู้สึกปวดครรภ์ขณะที่นอนตะแคง ให้ใช้หมอนหนุนครรภ์ที่มีลักษณะเหมือนลิ่มหนุนด้วย เพื่อให้สรีระของคุณแม่อยู่ในท่าที่ถูกต้อง หากคุณแม่ท่านใดที่กำลังเจอกับปัญหาอาการปวดหลังอยู่ในขณะนี้ วิธีบรรเทาและแก้อาการปวดที่ได้แนะนำไปทั้งหมด สามารถเอาไปใช้ได้ทันที แต่บางข้อหากจำเป็นต้องใช้ ก็ควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายนั่นเองค่ะ
ปวดท้องน้อยขวา เป็นตำแหน่ง ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก – หากปวดเกร็งเป็นระยะ ๆ แล้วร้าวมาที่ต้นขา: กรวยไตอักเสบ ควรพบแพทย์ – ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก: ไส้ติ่งอักเสบ – ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว: ปีกมดลูกอักเสบ – คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ: ก้อนไส้ติ่ง หรือรังไข่ผิดปกติ 8. ปวดท้องน้อย ตรงตำแหน่งกระเพาะปัสสาวะ และมดลูก – ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะ หรือถ่ายกะปริบกะปรอย: กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ – ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน ผู้หญิงที่แต่งงาน ไม่มีลูกแล้วมีอาการปวดเรื้อรัง: อาการมดลูกผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ 9. ปวดท้องน้อยซ้าย ตำแหน่ง ปีกมดลูก และท่อไต – ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา: นิ่วในท่อไต – ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว: มดลูกอักเสบ – ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ: ลำไส้ใหญ่อักเสบ – คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ: เนื้องอกในลำไส้ ขอบคุณภาพอินโฟกราฟิกจาก Khonkaenram อาการปวดท้องที่ควรไปพบแพทย์ทันที 1. ปวดนานมากกว่า 6 ชั่วโมงแล้วอาการเป็นมากขึ้น 2. ปวดจนกินอาหารไม่ได้ 3. ปวดท้องและอาเจียนอย่างมาก มากกว่า 3-4 ครั้ง 4. ปวดท้องมากขึ้นเมื่อขยับตัว 5. ปวดท้องที่บริเวณท้องน้อยด้านขวา 6.